บรรหาร ศิลปอาชา
สำหรับท่านที่21นะคะเรามาดูกันว่าท่านนี้ทำประโยชน์ให้ประเทศไทยอย่างไรบ้างและท่านดำรงตำแหน่งได้นานเท่าไหร่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างเรามาชมกันเลยนะคะ
นายกองใหญ่ บรรหาร
ศิลปอาชา (19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 – 23 เมษายน พ.ศ. 2559) เป็นนักการเมืองชาวไทย นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 21 ประธานกรรมการมูลนิธิบรรหาร-แจ่มใส
ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี
11 สมัย
อดีตนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาอดีตนายกสภาสถาบันการพลศึกษาอดีตกรรมการผู้จัดการ
บริษัท สหศรีชัยก่อสร้าง จำกัดและอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ทั้งเป็นพี่ชายของชุมพล ศิลปอาชา อดีตรองนายกรัฐมนตรี
ประวัติ
ตามทะเบียนราษฎร
บรรหารเกิดวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 แต่บางแหล่งว่าเกิดวันที่ 19
กรกฎาคม พ.ศ. 2475 บรรหารเป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เดิมมีชื่อว่า เต็กเซียง แซ่เบ๊ (馬德祥) บิดาของบรรหาร คือ เซ่งกิม แซ่เบ๊
ส่วนมารดาของบรรหาร คือ สายเอ็ง แซ่เบ๊ เป็นเจ้าของร้านสิ่งทอชื่อ ย่งหยูฮทั้งคู่มีบุตร 6 คน ดังนี้ตามลำดับ สมบูรณ์ ศิลปอาชา, สายใจ ศิลปอาชา,
อุดม ศิลปอาชา, บรรหาร ศิลปอาชา, ดรุณี วายากุล, และชุมพล ศิลปอาชา
บรรหารสมรสกับคุณหญิงแจ่มใส ศิลปอาชา มีบุตร 3 คน
·
บุตรชาย 1 คน คือ วราวุธ ศิลปอาชา สมรสกับสุวรรณา
ไรวินท์
·
บุตรหญิง 2 คน คือ กัญจนา ศิลปอาชา และภัคณีรัศ
ศิลปอาชา (เดิมชื่อปาริชาติ)
บรรหารจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาที่จังหวัดสุพรรณบุรี
เข้ากรุงเทพฯ มาเรียนหนังสือชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัฒนศิลป์วิทยาลัย
แต่ต้องหยุดเรียนไป เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง หันไปทำงานกับพี่ชาย และก่อตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างเป็นของตัวเองชื่อ
บริษัท สหศรีชัยก่อสร้าง เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2496
พ.ศ. 2505 ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด นทีทอง
และ พ.ศ. 2508 ก่อตั้งบริษัทวารทิพย์ จำกัด
ต่อมาก่อตั้งบริษัท
บี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ขายเคมีภัณฑ์ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2513 ใน พ.ศ. 2523 ครอบครัวบรรหารได้ก่อตั้งบริษัท สหศรีชัยเคมิคอลส์ จำกัด
เพื่อขายเคมีภัณฑ์ ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท คอสติกไทย จำกัด
บริษัททั้งหมดเป็นตัวแทนจำหน่ายคลอรีนให้แก่กรมโยธาธิการและการประปาส่วนภูมิภาคจนมีฐานะดีขึ้น
ก่อนบรรหารจะทำงานการเมือง
เขาตีสนิทข้าราชการด้วยการซื้อเครื่องดื่มไปฝาก
จนเป็นที่รู้จักของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ อาทิ ดำรง ชลวิจารณ์
อดีตอธิบดีกรมโยธาธิการ และผู้ว่าการประปานครหลวงคนแรกของประเทศไทย
เขาอาศัยความสนิทกับข้าราชการกรมโยธาธิการและการประปานครหลวง ชนะประมูลงานหลายครั้ง เนื่องจาก ดำรง ชลวิจารณ์
เป็นอธิบดีกรมโยธาธิการถึง 9 ปี
และเป็นผู้ว่าการประปานครหลวงคนแรกของประเทศไทยโดยดำรงตำแหน่งระหว่าง วันที่ 16
สิงหาคม พ.ศ. 2510 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2512
ใน พ.ศ. 2515 เขาเป็นผู้ร่วมทุนก่อตั้ง หนังสือพิมพ์บ้านเมือง อีกด้วย
ต่อมาเมื่อเป็นนักการเมืองแล้ว
ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมระหว่าง วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2519 ถึงวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2519 และระหว่าง วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม
พ.ศ. 2519 จึงเริ่มเรียนหนังสือต่อจนจบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อ พ.ศ. 2529 และศึกษาต่อปริญญาโทนิติศาสตร์
ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า
เขาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีฐานะร่ำรวยรองจากทักษิณ ชินวัตร หากเปรียบเทียบกับนายกรัฐมนตรี
10 คน คือ ชวน หลีกภัย, พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ, พลเอก สุรยุทธ์
จุลานนท์, สมัคร สุนทรเวช, สมชาย
วงศ์สวัสดิ์, อภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ, ทักษิณ ชินวัตร, ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร, และพลเอก ประยุทธ์
จันทร์โอชา เขายังเป็นอาของนคร
ศิลปอาชาซึ่งได้ตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงานภายหลังรัฐประหารในประเทศไทย
พ.ศ. 2557 ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2558 และได้รับตำแหน่งประธานคณะกรรมการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ตั้งแต่ วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560
บรรหารเข้าสู่วงการเมืองจากการชักชวนของบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ ตั้งแต่มีการก่อตั้งพรรคชาติไทยเมื่อ พ.ศ. 2517 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติใน พ.ศ. 2516และเป็นสมาชิกวุฒิสภา
ใน พ.ศ. 2518 ก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ พ.ศ. 2519 และ
ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาทุกสมัยที่มีการเลือกตั้ง
ต่อมาบรรหารขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคชาติไทยใน พ.ศ. 2523 และในปีเดียวกันนั้น เขาถูกพินิจ จันทรสุรินทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง และคณะรวม 42 คน ยื่นคำร้องต่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ
ขอให้วินิจฉัยว่า เขาขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากมีบิดาเป็นคนต่างด้าว
และสำเร็จการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย
แต่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีมติให้ยกคำร้องดังกล่าว
ต่อมาใน พ.ศ. 2537 บรรหารได้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคชาติไทย และเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย
การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
ตลอดเวลาที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
บรรหารได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในหลายกระทรวง ใน พ.ศ. 2519 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีสมัยแรก คือ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชจนกระทั่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากนายกรัฐมนตรีลาออก
และได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งเดิมอีกสมัยหนึ่ง แต่ดำรงตำแหน่งเพียง 12 วัน และได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณเพียงวันเดียวก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง
เนื่องจากพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ก่อรัฐประหาร
·
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (3 มีนาคม พ.ศ. 2523 – 4 มีนาคม พ.ศ. 2524)
·
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลพลเอก เปรม
ติณสูลานนท์ (5 สิงหาคม พ.ศ. 2529 – 3 สิงหาคม
พ.ศ. 2531)
·
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ (4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 – 9 มกราคม พ.ศ. 2533)
·
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลพลเอก ชาติชาย
ชุณหะวัณ (9 มกราคม พ.ศ. 2533 – 9 ธันวาคม
พ.ศ. 2533)
·
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลพลเอก ชาติชาย
ชุณหะวัณ (14 ธันวาคม พ.ศ. 2533 – 23 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2534)
·
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลพลเอก สุจินดา คราประยูร (7 เมษายน พ.ศ. 2535 – 9 มิถุนายน พ.ศ. 2535)
พฤษภาทมิฬ
ก่อนเกิดเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ บรรหาร ศิลปอาชา
เลขาธิการพรรคชาติไทย เป็นตัวแทนพรรคชาติไทย ในฐานะ
พรรคร่วมรัฐบาลให้สัญญาว่าจะแถลงถึงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อมาบรรหาร
และตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาล ออกโทรทัศน์ ปฏิเสธ เรื่องดังกล่าว
ทำให้เกิดการชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลและนำไปสู่เหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ในที่สุด
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป
พ.ศ. 2538 บรรหาร ศิลปอาชา
ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกของพรรคได้รับเลือกตั้งมากที่สุด
ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำให้บรรหาร ได้ดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย พร้อมควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
อีกตำแหน่งหนึ่งระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2538 ถึง พฤศจิกายน
พ.ศ. 2539
รัฐบาลบรรหาร
มีผลงานที่โดดเด่นคือ การริเริ่มให้มีร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540
การบริหารราชการแผ่นดินในดำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขา
ดำเนินไปด้วยความไม่ราบรื่น จนกระทั่งในวันที่ 18-20 กันยายน พ.ศ. 2539 เขาถูกพรรคฝ่ายค้าน
นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายไม่ไว้วางใจโจมตีว่าการบริหารประเทศไร้ประสิทธิภาพ
ไม่เป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ ประกอบกับพรรคร่วมรัฐบาลได้แก่ พรรคความหวังใหม่
พรรคนำไทย และพรรคมวลชน ได้ขอให้เขาลาออกจากตำแหน่ง แต่เขาได้ตัดสินใจยุบสภา เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2539 แทน
บรรหารมีสมญานามมากมาย
จากลักษณะเด่นหลายประการ เช่น มีฐานเสียงหนาแน่นอย่างที่สุดในจังหวัดสุพรรณบุรี
มีสถานะเป็นเจ้าถิ่นจนได้สมญาว่า "มังกรสุพรรณ" หรือ
"มังกรการเมือง" และเนื่องจากมีลักษณะคล้าย เติ้งเสี่ยวผิง อดีตผู้นำจีน สื่อมวลชนจึงนิยมเรียกบรรหารสั้น ๆ ว่า
"เติ้ง" หรือ "เติ้งเสี่ยวหาร" และ"ปลาไหล" เนื่องจากเป็นคนกลับกลอกไปมาไม่แน่นอน
บทบาทหลังการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ในการเลือกตั้งใน
พ.ศ. 2548 พรรคชาติไทยซึ่งใช้คำหาเสียงว่า
"สัจจะนิยม สร้างสังคมให้สมดุล"
บรรหารในฐานะหัวหน้าพรรคได้ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า จะไม่ขอร่วมรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อีก ถ้าพรรคไทยรักไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
ในวิกฤตการณ์การเมืองไทย
พ.ศ. 2548–2553 พรรคชาติไทยได้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน
และร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคมหาชน คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อวันที่
2 เมษายน พ.ศ. 2549
ก่อนการเลือกตั้งในปลาย
พ.ศ. 2550 ไม่นาน ผู้สื่อข่าวถามว่า
จะไปร่วมกับพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มอำนาจเก่าจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่
บรรหารตอบว่า "จะไม่ทำให้ผู้ใหญ่ที่นับถือมา 30 ปี ผิดหวัง" ซึ่งบรรหารไม่ได้บอกว่าเป็นใคร แต่สาธารณชนก็ตีความว่า
หมายถึง พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ หลังการเลือกตั้งปรากฏว่า
บรรหารและพรรคชาติไทยก็ไปเข้าร่วมกับพรรคพลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรค ได้ออกมาโจมตีและแฉพฤติกรรมบรรหารเป็นการใหญ่
บรรหารรวมทั้งวราวุธและกัญจนาถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นระยะเวลาทั้งหมด
5 ปี เนื่องจากการยุบพรรคชาติไทย
ซึ่งขณะนั้นบรรหารดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
ในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 มีผู้พบระเบิดที่ที่ทำการพรรคชาติไทยเพื่อเป็นการข่มขู่ที่มีข่าวว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคชาติไทยพัฒนาจะสนับสนุนอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรีในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย
ธันวาคม พ.ศ. 2551ต่อมาในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 พรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยชุมพล ศิลปอาชาได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาและ ธีระ วงศ์สมุทรเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ใน พ.ศ. 2554 พรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเนื่องจากทั้งสองพรรคมีความเป็นศัตรูกันอย่างชัดเจนโดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่างประกาศพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อใช้กับนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามส่งผลให้เกิดคดี
นักการเมืองจากทั้งสองพรรค ถูกศาลออกหมายจับ ในข้อหาทำผิดกฎหมายดังกล่าวจำนวนมาก
ในขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนาได้ผลประโยชน์จากการร่วมงานกับทั้งสองพรรคกล่าวคือ ชุมพล ศิลปอาชาได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาและธีระ วงศ์สมุทรเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ใน พ.ศ. 2556 เขาอาสาทำงานเป็น ผู้ประสานงานคณะทำงานเวทีปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ
สังคม การเมือง ให้แก่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรโดยเข้าพบ สนธิ ลิ้มทองกุล และ จำลอง ศรีเมือง ในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556 เขายืนยันว่าพรรคชาติไทย ไม่ได้ทำผิดและไม่สมควรถูกยุบพรรค
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป
พ.ศ. 2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ
สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา ลำดับที่ 1
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรียกเขารายงานตัวตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 23/2557
เขาไปรายงานตัวในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
บรรหาร ศิลปะอาชา ถึงแต่อนิจกรรม
ในช่วงเช้าวันที่ 21 เมษายน 2559 มีกระแสข่าวว่า
นายบรรหาร ศิลปอาชา ได้ถูกนำตัวเข้ารับการรักษาที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลศิริราช
อย่างเร่งด่วน หลังจากมีอาการหอบหืดกำเริบ ซึ่งเป็นโรคประจำตัวของนายบรรหาร ซึ่งทางญาติได้พยายามให้การดูแลด้วยการพ่นยาแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น
และในวันต่อมายังคงมีอาการทรงตัว ยังอยู่ในภาวะวิกฤต
จึงต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ก่อนที่ในเช้ามืดวันที่ 23 เมษายน นายบรรหาร ได้ถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบ ด้วยวัย 83 ปี 8 เดือน โดยทางญาติจะมีการเคลื่อนศพไปวัดเทพศิรินทร์ในช่วงเช้า
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
สมัยที่ 1 - 13 กรกฎาคม 2538 - 25 พฤศจิกายน 2539
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น